การขับรถผ่านทางร่วมทางแยก และวงเวียนควรขับอย่างไร

การขับรถผ่านทางร่วมทางแยกหรือวงเวียน

บ้านประกันภัย.com

การขับรถผ่านทางร่วมทางแยก และวงเวียนควรขับอย่างไร

กรณีการลดความเร็วเมื่อ ขับรถผ่านทางร่วมทางแยก  ทางเส้นให้รถหยุด หรือวงเวียนผู้ขับขี่ซึ่งขับรถเข้าใกล้ทางร่วมทางแยก ทางข้าม เส้นให้รถหยุดหรือวงเวียน กฎหมายมาตรา ๗ บัญญัติว่า ผู้ขับขี่ซึ่งขับรถเข้าใกล้ทางร่วม ทางแยก ทางข้าม เส้นให้หยุดรถ หรือวงเวียน ต้องลดความเร็วของรถ ทั้งนี้ เพราะเป็นจุดสำคัญที่มีรถมาเกี่ยวข้องหรือใช้เส้นทางมาจึงต้องระมัดระวัง  โดยการลดความเร็ว ของรถลงสำหรับความหมายของถ้อยคำที่เกี่ยวข้องนั้น กฎหมายได้บัญญัติให้นิยามความหมายไว้ ดังนี้

สารบัญ

ความหมายของ ทางร่วมทางแยก ทางข้าม และวงเวียน

“ทางร่วมทางแยก” หมายความว่า พื้นที่ที่ทางเดินรถตั้งแต่สองสายตัดผ่านกันรวมบรรจบกัน หรือตัดกัน

“ทางข้าม” หมายความว่า พื้นที่ที่ทำไว้สำหรับให้คนเดินเท้าข้ามทางโดยทำเครื่องหมายเป็นเส้นหรือแนวหรือตอกหมุดไว้บนทาง และให้หมายความรวมถึงพื้นที่ที่ทำให้คนเดินเท้าข้ามไม่ว่าในระดับใต้หรือเหนือพื้นดินด้วย

“วงเวียน” หมายความว่า ทางเดินรถที่กำหนดให้รถเดินรอบเครื่องหมายจราจรหรือสิ่งที่สร้างขึ้น ในทางร่วมทางแยกตัวอย่างของวงเวียนที่มีการก่อสร้างขึ้นในรูปลักษณะต่าง ๆ เช่นน้ำพุ หอนาฬิกา อนุสาวรีย์ เป็นต้นสำหรับการฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา ๗ กฎหมายบัญญัติให้ต้องระวางโทษตามมาตรา ๑๔๘ วรรคหนึ่ง กล่าวคือ ปรับไม่เกิน ๕๐๐ บาท

มาตรา ๗๐ ผู้ขับขี่ซึ่งขับรถเข้าใกล้ทางร่วมทางแยก ทางข้าม เส้นให้หยุดรถ หรือวงเวียน หรือต้องลดความเร็วของรถผู้ฝ่าฝืนต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองพันบาท (มาตรา ๑๔๘)

S 2637827 - บ้านประกันภัย

กรณี การขับรถผ่านทางร่วมทางแยก เมื่อเกิดเหตุจึงมีคำพิพากษาฎีกาเกี่ยวกับความประมาทในการใช้ทางดังนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๗๖๗๓/๒๕๕๐ โจทก์ขับรถจักรยานยนต์มาด้วยความเร็วสูง ทั้งที่เป็น ทางร่วมทางแยก ซึ่งโจทก์ต้องลดความเร็วของรถลงเพื่อมิให้เกิดอุบัติเหตุ เมื่อโจทก์มิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๗๐ โจทก์จึงมีส่วนประมาทอยู่ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๗๓๑/๒๕๓๕ ขณะเกิดเหตุจำเลยลดความเร็วของรถลงเหลือประมาณ ๒๕-๓๐กิโลเมตรต่อชั่วโมงเพราะเห็นว่าเป็นทางร่วมทางแยกและเห็นผู้ตายยืนอยู่บนถนนด้วย เหตุที่รถของจำเลยเฉี่ยวจำเลยเป็นเพราะขณะนั้นจำเลยมองไม่เห็นผู้ตาย เนื่องจากมีรถตู้ขับคู่มากับรถของจำเลยทางช่องทางที่ ๓ ทางขวามือบังผู้ตายไว้ เมื่อผู้ตายหลบรถตู้คันดังกล่าวมาทางรถของจำเลยในระยะกระชั้นชิด จำเลยจึงห้ามล้อกะทันหัน แต่รถไม่หยุดในทันที และเฉี่ยวผู้ตายทางขวาของรถเป็นเหตุให้ผู้ตายล้มลง พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัย ไม่ใช่เป็นเพราะความประมาทของจำเลย

ฎีกาที่ ๖๕๐๕/๒๕๕๕โจทก์บรรยายฟ้องในข้อสาระสำคัญของการกระทำความผิดว่าจำเลยกระทำโดยประมาทด้วยการขับรถด้วยความเร็วสูงเกินสมควรและไม่ชะลอความเร็วเมื่อถึงสี่แยก แต่ทางพิจารณากลับได้ความว่าจำเลยจอดรถอยู่ที่สี่แยกและเพิ่งขับรถเคลื่อนที่เมื่อได้รับสัญญาณจราจรไฟสีเขียวแล้วชนรถจักรยานยนต์ของโจทก์ร่วมที่ ๑ เพราะมองไม่เห็น มิใช่เพราะการขับรถเร็วหรือไม่ชะลอตามฟ้องดังนี้ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาจึงแตกต่างกับข้อเที่จจริงในฟ้อง ทั้งเป็นข้อสาระสำคัญ ศาลต้องยกฟ้องตาม ป.วิ อ มาตรา ๑๙๒ วรรคสอง ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป. วิ. อ. มาตรา ๑๙๕ วรรค ประกอบมาตรา ๒๒๕

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๐๓๓/๒๕๕๖ โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ ๒ ขับรถยนต์กระบะมาถึงสี่แยกหนองขาหยั่งขณะนั้นสัญญาณจราจรไฟซึ่งติดตั้งไว้บนทางที่จำเลยที่ ๒ ขับมาขึ้นเป็นไฟสีแดงซึ่งจำเลยที่ ๒ ต้องชะลอความเร็วของรถลงและหยุดรอจนกว่าสัญญาณจราจรไฟจะเปลี่ยนเป็นไฟสีเขียวจึงจะขับรถแล่นเข้าบริเวณสี่แยกนั้นได้จำเลยที่ ๒ อาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้เพียงพอไม่ จำเลยที่ ๒ กลับขับรถแล่นตรงเข้าสี่แยกดังกล่าวทันที เป็นเหตุให้รถยนต์ที่จำเลยที่ ๒ ขับเฉี่ยวชนกับรถจักรยานยนต์ของจำเลยที่ ๑ แม้ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๒ ไม่ได้ขับรถฝ่าฝืนสัญญาณจราจรไฟสีแดง แต่ข้อแตกต่างดังกล่าวเป็นเพียงรายละเอียด ทั้งการที่จำเลยที่ ๒ ขับรถแล่นเข้าไปในสี่แยกที่เกิดเหตุด้วยความเร็วโดยมิได้ลดความเร็วลงและให้รถจักรยานยนต์ที่จำเลยที่ ๑ ขับซึ่งแล่นมาทางด้านขวาผ่านไปก่อน เป็นการขาดความระมัดระวังตามวิสัยและพฤติการณ์อันเป็นการกระทำโดยประมาท เป็นเหตุให้เกิดเฉี่ยวชนกับรถจักรยานยนต์ของจำเลยที่ ๒ จึงเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าจำเลยกระทำโดยประมาทตามที่กล่าวไว้ในฟ้องแล้ว ศาลชั้นต้นจึงลงโทษจำเลยที่ ๒ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๐๐ ได้

จำเลยที่ ๒ ไม่ชะลอรถก่อนเข้าทางร่วมแยกและให้รถจักรยานยนต์ของจำเลยที่ ๑ แล่นผ่านไปก่อนโดยประมาท ทำให้รถยนต์กระบะของจำเลยที่ ๒ ชนเข้ากับรถจักรยานยนต์ของจำเลยที่ ๑ เป็นเหตุให้จำเลยที่ ๑ ได้รับอันตรายสาหัส แม้เหตุที่จำเลยที่ ๑ ได้รับอันตรายสาหัสเกิดจากมีพลเมืองดีขึ้นไปสตาร์ตรถทำให้น้ำในหม้อน้ำรถยนต์กระบะแตกลวกตัวจำเลยที่ ๑ ซึ่งนอนอยู่ใต้รถ แต่การที่จำเลยที่ ๑ ถูกน้ำร้อนลวกบริเวณหน้าอกและหน้าท้องเป็นผลโดยตรงจากความประมาทของจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ จึงมีความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส

 

ฎีกาที่ ๕๘๐/ ๒๕๒๕โจทก์ที่ ๑ สามีผู้ตายขับรถแทรกเตอร์มีกระบะพ่วงท้ายผู้ตายนั่งมาด้วยในรถกระบะโดยมิได้ติดโคมไฟท้ายรถกระบะให้มีแสงสว่างสามารถมองเห็นได้ในระยะไกล จำเลยขับรถโดยสารแล่นตามหลังไม่อาจมองเห็นรถที่โจทก์ขับในระยะไกล จึงไม่อาจหยุดรถหรือหลบหลีกได้ทันเกิดชนกันเสียหาย ดังนี้ ถือว่าความเสียหายที่เกิดขึ้น โจทก์ที่ ๑ มีส่วนประมาทมากกว่าจำเลย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ที่ ๑ แต่จำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ บุตรของผู้ตายหนึ่งในสามส่วน (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ ๖๗๖/๒๕๕๔)การที่จำเลยชดใช้ค่าทำศพให้ ส ซึ่งมิใช่บิดาที่ชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย เป็นการชำระให้ผู้ที่ไม่มีสิทธิเรียกร้องเอาค่าทำศพ ไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๙๘ จำเลยจึงยังต้องรับผิดต่อโจทก์ที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ ซึ่งเป็นบุตรผู้ตายที่มีสิทธิเรียกร้องค่าทำศพผู้ตายอยู่

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๒๔๘/๒๕๕๙ ถนนที่จำเลยขับรถมาเป็นทางเดินรถทางโท มีสัญญาณจราจรไฟกระพริบสีแดงและป้ายเตือนให้หยุด ติดไว้ก่อนเข้าทางร่วมทางแยก จำเลยต้องหยุดรถก่อนถึงทางร่วมทางแยก หลังเส้นให้หยุดรถและให้ผู้ขับรถในทางเอกขับผ่านไปก่อน เมื่อเห็นว่าปลอดภัยและไม่เป็นการกีดขวางการจราจรแล้วจึงจะขับรถต่อไปได้ด้วยความระมัดระวัง ส่วนโจทก์ขับรถมาในทางเอกแม้จะมีสิทธิขับรถผ่านทางร่วมทางแยกไปก่อน แต่ก็ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๗๐ โดยต้องลดความเร็วของรถ เมื่อขับรถเข้าใกล้ทางร่วมทางแยกสภาพความเสียหายของรถโจทก์ได้รับความเสียหายอย่างมากอันเกิดจากการชนโดยแรง และตามแผนที่แสดงสถานที่เกิดเหตุ รถยนต์โจทก์อยู่ห่างจากจุดชนประมาณ ๓๕ เมตร แสดงว่าโจทก์ขับรถมาด้วยความเร็วและไม่ได้ชะลอความเร็วของรถ เมื่อเข้าใกล้ทางร่วมทางแยก เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้เกิดเหตุรถชนกันโจทก็จึงมีส่วนประมาทอยู่ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๐๐๖/๒๕๕๘ บริเวณทางเชื่อมต่อระหว่างถนนวงแหวนรอบนอกกับถนนบางนา – ตราดมีสัญญาณจราจรเส้นขาวทึบบนผิวทางห้ามมิให้รถที่แล่นมาจากถนนวงแหวนรอบนอกเบี่ยงขวาเข้าสู่ถนนบางนา – ตราดทันที ผู้ขับรถจะต้องขับรถเลยเส้นขาวทึบบนผิวทางไปก่อนจึงเบี่ยงขวาเข้าถนนบางนา – ตราดได้ทั้งบริเวณที่เกิดเหตุเป็นถนนบรรจบกัน ผู้ขับรถจะต้องใช้ความระมัดระวังและผู้ขับรถที่จะเบี่ยงเช้าถนนหลักต้องหยุดรถให้ทางแก่รถที่กำลังแล่นในถนนหลักผ่านไปก่อน แต่จำเลยที่ ๑ หาได้ปฏิบัติตาม การที่จำเลยที่ ๑ ขับรถทับเส้นขาวทึบบนผิวทางไปชนรถโดยสารประจำทางของโจทก์ที่ ว. ขับผ่านมาโดยไม่หยุดรถให้ทางแก่รถของโจทก์ที่แล่นผ่านมาในทางเดินรถหลักก่อนจำเลยที่ ๑ จึงเป็นฝ่ายประมาทเลินเล่อ

ขณะเกิดเหตุฝนตกปรอยๆ ว. ขับรถโดยสารประจำทางโดยใช้เกียร์ ๕ และขับรถด้วยความเร็ว ๖๐- ๗๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง เห็นจำเลยที่ ๑ ขับรถลงจากถนนวงแหวนรอบนอก จุดที่เกิดเหตุเป็นถนนวงแหวนรอบนอกบรรจบกับถนนบางนา-ตราดจึงเป็นบริเวณทางร่วมทางแยกซึ่งผู้ขับขี่ที่ขับรถข้าใกล้ทางร่วมทางแยกต้องลดความเร็วรถตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๗๐ แห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ แต่ไม่ปรากฎว่า ว. ชะลอความเร็วของรถลงเพื่อหลีกเลี่ยงมิให้เกิดเหตุรถชนกัน ว. จึงมีส่วนขับรถโดยประมาทเลินเล่อด้วย แต่จำเลยที่ 3 เป็นฝ่ายก่อให้เกิดเหตุก่อนโดยขับรถทับเส้นขาวทึบบนผิวทางล้ำเข้าไปในช่องเดินรถของ ก. และไม่หยุดรถให้ทางแก่รถที่ ข. ขับมาในทางเดินรถหลักผ่านไปก่อน จำเลยที่ ๑ จึงประมาทเลินเล่อมากกว่า

S 2621611 - บ้านประกันภัย

โดย การขับรถผ่านทางร่วมทางแยก นั้น อยู่ภายใต้บทบัญญัติมาตรา มาตรา ๗๑ ” ภายใต้บังคับมาตรา ๒๑ และมาตรา ๒๖

บทบัญญัติมาตรา ๗๑ เป็นหลักทั่วไปอยู่ภายใต้มาตรา ๒๑ผู้ขับขี่ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามสัญญาณจราจรและเครื่องหมายจราจรที่ได้ติดตั้งไว้หรือทำไห้ปรากฎในทาง หรือที่พนักงานเจ้าหน้าที่แสดงให้ทราบ และมาตรา ๒๖ คือ กรณีในทางเดินรถที่มีสัญญาณจราจรหรือเครื่องหมายจราจรตามมาตรา ๒๒ หรือสัญญาณจราจรตามมาตรา ๒๓ ถ้าพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมการจราจรในทางเดินรถนั้นเห็นสมควรเพื่อความปลอดภัยหรือความสะดวกในการจราจร จะให้สัญญาณจราจรเป็นอย่างอื่นก็ได้ ในกรณีเช่นนี้ ให้ผู้ขับขี่ปฏิบัติการเดินรถตามสัญญาณที่พนักงานเจ้าหน้าที่กำหนดให้ดังนั้น หากเป็นกรณีที่เข้าเกณฑ์ตามมาตรา ๒๑ และมาตรา ๒๖ก็ต้องปฏิบัติตามนั้น หากเป็นกรณีทั่วไปไม่อยู่ใน ก็เป็นไปตามมาตรา ๗๑

การขับรถผ่านทางร่วมทางแยก ให้ผู้ขับขี่ปฏิบัติดังนี้

ถ้ามีรถอื่นอยู่ในทางร่วมทางแยก ผู้ขับขี่ต้องให้รถในทางร่วมทางแยกนั้นผ่านไปก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๔๖๓/๒๕๓๕ รถยนต์คันที่จำเลยที่ ๑ ขับแล่นมาถึงบริเวณสี่แยกที่เกิดเหตุก่อนรถยนต์คันที่ ก. ขับซึ่งโจทก์รับประกันภัยไว้ ก.ย่อมมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มารตรา ๗๑(๑)โดยต้องให้รถคันที่จำเลยที่ ๑ ขับ ผ่านไปเสียก่อนแต่ ก. กลับฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมายเหตุให้เกิดชนกันขึ้น พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตา ๗๑(๑) เป็นบทบัญญัติของกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์จะปกป้องบุคคลอื่น ๆ ก. ผู้ฝ่าฝืนกฎหมายเช่นว่านั้นย่อมต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่าเป็นฝ่ายผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๒๒

ฎีกาที่ ๒๘๖๒/๒๕๓๑ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ ศ ๒๕๒๒ นั้น บทบัญญัติมาตรา ๕๕ (๔) และมาตรา ๗๑ (๑) (๒) ต้องอยู่ในเงื่อนไขของมาตรา ๒๑ ดังนั้นเมื่อโจทก์ขับขี่รถมาถึงสี่แยกที่เกิดเหตุ โจทก็ก็ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามสัญญาจราจรและเครื่องหมายจราจรที่ได้ติดตั้งไว้หากปรากฏว่าสี่แยกด้านที่โจทก์ขับขี่รถมามีป้ายสัญญาณจราจรให้หยุดเพื่อดูความปลอดภัย แต่โจทก์กลับขับขี่รถแล่นออกไปโดยไม่ได้หยุดและชนกับรถที่จำเลยที่ 2 ขับขี่แล่นผ่านสี่แยกจากอีกด้านหนึ่งด้วยความเร็วสูง แม้ว่าเป็นความประมาทของจำเลยที่ ๑ แต่ก็นับว่าโจทก์มีส่วนประมาทด้วย

ถ้ามาถึงทางร่วมทางแยกพร้อมกันและไม่มีรถอยู่ในทางร่วมทางแยก ผู้ขับขี่ต้องให้รถที่อยู่ทางด้านซ้ายของตนผ่านไปก่อน

เว้นแต่ในทางร่วมทางแยกใดมีทางเดินรถทางเอกตัดผ่านทางเดินรถทางโท ให้ผู้ขับขี่ซึ่งขับรถในทางเอกมีสิทธิขับผ่านไปก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๙๕๓/๒๕๓๔ พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๗๑(๒)บัญญัติว่า ถ้ามาถึงทางแยกทางร่วมพร้อมกันและไม่มีรถอยู่ในทางร่วมทางแยกผู้ขับขี่ต้องให้รถที่อยู่ทางด้านซ้ายของตนผ่านไปก่อน แต่แม้จะมีกฎหมายดังกล่าวซึ่งทำให้คนขับรถของจำเลยมีสิทธิขับรถผ่านสี่แยกไปก่อนได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าคนขับรถของจำเลยมีสิทธิขับรถเข้าไปในสี่แยกโดยไม่คำนึงหรือไม่ระมัดระวังหรือไม่ดูว่ามียานพาหนะอื่นแล่นเข้ามาในสี่แยกหรือไม่ ที่เกิดเหตุเป็นสี่แยกมีทางเดินรถหลายช่องทาง ผู้ขับขี่ยวดยานทุกคนต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษกว่าการขับไปตามถนนอย่างธรรมดา เมื่อพิจารณาภาพถ่ายความเสียหายเห็นได้ว่ารถยนต์ชนกันอย่างแรง ซึ่งก็ต้องเกิดจากการขับรถด้วยความเร็วสูงของคนขับรถของจำเลยนั้นเองด้วย การกระทำดังกล่าวถือว่าเป็นความประมาท บทบัญญัติดังกล่าวมิได้คุ้มครองให้คนขับรถของจำเลยพ้นผิด

ฎีกาที่ ๓๗๗/๒๕๓๕ จำเลยที่ ๑ ขับรถมาถึงทางร่วมทางแยกก่อนรถโจทก์ จะนำมาตรา ๗๑ (๒) พ.รบ. จราจรทางบก มาใช้บังคับไม่ได้ตามบทมาตราดังกล่าวเป็นกรณีที่รถมาถึงทางร่วมทางแยกพร้อมกันและตามมาตรา ๕๑ (๒) (จ) ก็เป็นกรณีเมื่อรถอยู่ในทางร่วมทางแยกต้องให้รถที่สวนมาในทางเดินรถเดียวกันผ่านไปก่อน เมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้วจึงให้เลี้ยวขวาไปได้ มิใช่กรณีการเดินรถในถนนคนละสาย

กรณีมีสัญญาณไฟเขียวอยู่ข้างหน้า แต่ในทางร่วมทางแยกอื่นมีรถหยุดขวางอยู่จนไม่สามารถผ่านพ้นทางร่วมทางแยกไปได้

กรณีนี้ต้องหยุดรถที่หลังเส้นให้หยุดรถจนกว่าจะสามารถเคลื่อนรถผ่านทางร่วมทางแยกไปได้สำหรับโทษของการฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา ๗๑ เป็นไปตามมาตรา ๑๔๘ วรรคหนึ่ง กล่าวคือ ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน ๕๐๐ บาท

 

หลักทั่วไปเกี่ยวกับการขับรถถึงทางร่วมทางแยกซึ่งมีลักษณะของการที่ทางเดินรถหลายทางมาบรรจบกันตัดกันซึ่งอาจแยกพิจารณาได้ดังนี้

ฎีกาที่ ๔๗๓๘/๒๕๓๐ จำเลยขับขี่รถจักรยานยนต์มาถึงทางแยกก่อนจนแล่นอยู่ในช่องทางเดินรถช่องที่ ๑ จะถึงช่องที่ ๒ อยู่แล้ว รถยนต์ที่ ส ขับจึงรนรถจักรยานยนต์ของจำเลย ในลักษณะเช่นนี้รถยนต์ของ สจะต้องให้รถจักรยานยนต์ของจำเลยผ่านไปก่อนตามพระราชบัญญัติทางบก พ.ศ ๒๕๒๒ มาตรา ๗๑ (๑) ส. ขับรถด้วยความเร็วสูงมากและไม่ลดความเร็วเมื่อถึงทางร่วมทางแยกแม้จะเป็นทางเอกก็เป็นฝ่ายประมาท ต. กรณีมาถึงทางร่วมทางแยกพร้อมกันกรณีที่ต่างฝ่ายต่างมาถึงทางร่วมทางแยกพร้อมกัน  และไม่มีรถอยู่ในทางร่วมทางแยก กรณีนี้ กฎหมายบัญญัติให้รถที่อยู่ทางซ้ายผ่านไปก่อน เว้นแต่กรณีเป็นทางเอกทางโทตัดกัน หรือภาษากฎหมายเรียกว่ามีทางเดินรถทางเอกตัดผ่านทางเดินรถทางโท กรณีนี้ให้ผู้ขับขี่รถในทางเอกมีสิทธิขับผ่านไปก่อน

ฎีกาที่ ๖๕๐๕/๒๕๕๕โจทก์บรรยายฟ้องในข้อสาระสำคัญของการกระทำความผิดว่าจำเลยกระทำโดยประมาทด้วยการขับรถด้วยความเร็วสูงเกินสมควรและไม่ชะลอความเร็วเมื่อถึงสี่แยก แต่ทางพิจารณากลับได้ความว่าจำเลยจอดรถอยู่ที่สี่แยกและเพิ่งขับรถ.คลื่อนที่เมื่อได้รับสัญญาณจราจรไฟสีเขียวแล้วชนรถจักรยานยนต์ของโจทก์ร่วมที่ ๑ เพราะมองไม่เห็น มิใช่ที่ปรากฏในการพิจารณาจึงแตกต่างกับข้อเที่จจริงในฟ้อง ทั้งเล็กเพราะการขับรถเร็วหรือไม่ชะลอความเร็วตามฟ้อง ดังนี้ ขัลเอสาระสำคัญ ศาลต้องยกฟ้องตาม ป.วิ อ มาตรา ๑๙๒ วรรคสอง ปักดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคฝ่ายใดอีกา ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป วิ อ มาตรา ๑๙๕ วรรค ประกอบมาตรา ๒๒๕

ฎีกาที่ ๓๘๒๕/๒๕๒๘ เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๒ ขับรถมาถึงสี่แยกจำเลยที่ ๑ หรือขับรถผ่านสี่แยกจนตัวรถเลยกึ่งกลางสี่แยกแม้จำเลยที่ ๒ จะขับรถอยู่ด้านช้ายของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ ก็ไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๗๑(๒) การขับรถในกรณีที่ผู้ขับขี่ต่างขับรถอยู่ในถนนซอย ในหมู่บ้านและกำลังจะผ่านสี่แยก ซึ่งทั้งสี่มุมเป็นบ้านพักอาศัยซึ่งรั้วบ้านสูงจนผู้ขับขี่ไม่สามารถเห็นรถที่อยู่ในทางร่วมทางแยกด้านอื่น ผู้ขับขี่ต้องอยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๗๐ ซึ่งบัญญัติว่า ผู้ขับขี่ซึ่งขับรถเข้าใกล้ทางร่วมทางแยกทางข้ามเส้นให้หยุดหรือวงเวียน ต้องลดความเร็วของรถ ดังนั้น การที่จำเลยที่ ๒ ขับรถผ่านสี่แยกดังกล่าวโดยมีได้ลดความเร็วของรถและมิได้ให้แตรสัญญาณก่อนขับรถผ่านสี่แยกทั้งที่บริเวณสี่แยกไม่มีเครื่องหมายการจราจรและไม่สามารถเห็นรถซึ่งอยู่ในทางแยกด้านอื่น ถือว่าเป็นการขับรถโดยประมาทเมื่อรถซึ่งจำเลยที่ ๒ ขับชนกับรถ ซึ่งจำเลยที่ ๑ ขับตรงสี่แยกเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายและถึงแก่ความตาย จำเลยที่ ๒ ย่อมมีความผิด 

มาตรา ๗๒  ทางเดินรถทางเอกได้แก่ทางเดินรถ ดังต่อไปนี้

(๑) ทางเดินรถที่ได้ติดตั้งเครื่องหมายจราจรแสดงว่าเป็นทางเดินรถทางเอก

(๒) ทางเดินรถที่มีป้ายหยุดหรือป้ายที่มีคำว่า “ให้ทาง” ติดตั้งไว้ หรือทางเดินรถที่มีคำว่าหยุดหรือเส้นหยุดซึ่งเป็นเส้นขาวทึบหรือเส้นให้ทางซึ่งเป็นเส้นขาวประบนผิวทาง ให้ทางเดินรถที่ขวางข้างหน้าเป็นทางเดินรถทางเอก

(๓) ในกรณีที่ไม่มีเครื่องหมายจราจรตาม (๑) หรือไม่มีป้ายหรือเส้นหรือข้อความบนผิวทางตาม (๒) ให้ทางเดินรถที่มีช่องเดินรถมากกว่าเป็นทางเดินรถทางเอกไปก่อน

(๔) ถนนที่ตัดหรือบรรจบกับตรอกหรือซอย ให้ทางเดินรถที่เป็นถนนเป็นทางเดินรถทางเอก

 

มาตรา ๗๓ ในกรณีที่วงเวียนใดได้ติดตั้งสัญญาณจราจรหรือเครื่องหมายจราจรผู้ขับขี่ต้องปฏิบัติตามสัญญาณจราจรหรือเครื่องหมายจราจรนั้น ( ผู้ฝ่าฝืนความในวรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสี่พันบาท (มาตรา ๑๕๒) )

ถ้าไม่มีสัญญาณจราจรหรือเครื่องหมายจราจรตามวรรคหนึ่ง เมื่อผู้ขับขี่ขับรถมาถึงวงเวียน ต้องให้สิทธิแก่ผู้ขับขี่ซึ่งขับรถอยู่ในวงเวียนทางด้านขวาของตนขับผ่านไปก่อน  (ผู้ฝ่าฝืนความในวรรคสอง ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองพันบาท (มาตรา ๑๔๘))

ในกรณีที่เจ้าพนักงานจราจรเห็นสมควรเพื่อความปลอดภัยหรือความสะดวกในการจราจรจะให้สัญญาณจราจรเป็นอย่างอื่นนอกจากที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่งหรือวรรคสองก็ได้ในกรณีเช่นนี้ผู้ขับขี่ต้องปฏิบัติตามสัญญาณจราจรที่เจ้าพนักงานจราจร กำหนดให้ ( ผู้ฝ่าฝืนความในวรรคสาม ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสี่พันบาท (มาตรา ๑๕๒))

ทางเดินรถอื่นที่มิใช่ทางเดินรถทางเอกตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นทางเดินรถทางโท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๕๗๑/๒๕๔๐ จำเลยขับรถมาด้วยความเร็วประมาณ ๘๐ ถึง ๙๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่อขับรถมาถึงบริเวณที่เกิดเหตุ ไม่มีรถแล่นอยู่ข้างหน้า เห็นผู้ตายขับรถจักรยานยนต์ตัดข้ามถนน จำเลยใช้สัญญาณแตรเตือน ๒ ครั้งก่อนหักหลบไปทางขวา แต่ผู้ตายตกใจเร่งเครื่องยนต์พุ่งออกมาอีก จำเลยห้ามล้อรถยนต์แล้วแต่ไม่สามารถหยุดรถได้ทันที เมื่อปรากฏว่าเส้นทางเดินรถของจำเลยเป็นทางเอก ซึ่งผู้ตายจะต้องหยุดรอให้รถของจำเลยผ่านไปก่อนประกอบกับขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน การที่ผู้ตายเห็นแสงไฟรถของจำเลยยังขับข้ามถนนจนเกิดชนกันขึ้น เป็นการพ้นวิสัยที่จำเลยจะหลีกเลี่ยงได้ จำเลยได้ใช้ความระมัดระวังซึ่งบุคคลที่อยู่ในภาวะเช่นจำเลยต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์แล้ว แม้รอยห้ามล้อรถจำเลยจะยาวประมาณ ๒๒ เมตร ก็ไม่อาจบ่งชี้ว่าจำเลยขับรถด้วยความเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของรถที่แล่นสวนมา เมื่อพยานหลักฐานที่โจทก็และโจทก์ร่วมนำสืบมายังไม่เพียงพอที่จะฟังว่าจำเลยกระทำโดยประมาท จึงฟังลงโทษจำเลยฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายไม่ได้

กรณีขับรถออกจากทางส่วนบุคคลหรือทางเดินรถภายในหรือบริเวณอาคาร

การชับรถออกจากทางส่วนบุคคลหรือทางเดินรถในอาคารก็ต้องมีการเชื่อมต่อเข้ากับทางเดินรถหลัก มาตรา ๗๔ จึงบัญญัติให้ผู้ขับขี่ซึ่งชับรถออกจากทางส่วนบุคคลหรือทางเดินรถในบริเวณอาคาร เมื่อจะชับรถผ่านหรือเลี้ยวสู่ทางเดินรถที่ตัดผ่านต้องหยุดรถเพื่อให้รถที่กำลังผ่านทางหรือรถที่กำลังแล่นอยู่ในทางเดินรถผ่านไปก่อน เมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้วจึงขับรถต่อไปได้สำหรับโทษของการฝ่าผื่นมาตรา ๗๔ เป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๔๘ วรรคหนึ่ง คือ ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน ๕๐๐ บาท

 

สรุป 

วิธี การขับรถผ่านทางร่วมทางแยก นั้นเพื่อความปลอดภัย และการมีวินัยจราจร เราควรศึกษา ว่าเกี่ยวกับเครื่องหมายจราจร ป้ายบังคับ และกฎจราจร ให้ดีเสียก่อน  ที่สำคัญต้อง มีใบขับขี่ เพราะจะมีหลักสูตรเกี่ยวกับ กฎ และข้อบังคับจราจรต่างๆ ให้ทดสอบ เพื่อความปลอดภัยและลดการสูญเสียที่จะตามมาด้วยนะคะ

คำถามที่พบบ่อย :

มาตรา ๗๓ ในกรณีที่วงเวียนใดได้ติดตั้งสัญญาณจราจรหรือเครื่องหมายจราจรผู้ขับขี่ต้องปฏิบัติตามสัญญาณจราจรหรือเครื่องหมายจราจรนั้น ( ผู้ฝ่าฝืนความในวรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสี่พันบาท (มาตรา ๑๕๒) )

ถ้าไม่มีสัญญาณจราจรหรือเครื่องหมายจราจรตามวรรคหนึ่ง เมื่อผู้ขับขี่ขับรถมาถึงวงเวียน ต้องให้สิทธิแก่ผู้ขับขี่ซึ่งขับรถอยู่ในวงเวียนทางด้านขวาของตนขับผ่านไปก่อน  (ผู้ฝ่าฝืนความในวรรคสอง ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองพันบาท (มาตรา ๑๔๘))

 

 

 

ในกรณีที่เจ้าพนักงานจราจรเห็นสมควรเพื่อความปลอดภัยหรือความสะดวกในการจราจรจะให้สัญญาณจราจรเป็นอย่างอื่นนอกจากที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่งหรือวรรคสองก็ได้ในกรณีเช่นนี้ผู้ขับขี่ต้องปฏิบัติตามสัญญาณจราจรที่เจ้าพนักงานจราจร กำหนดให้ ( ผู้ฝ่าฝืนความในวรรคสาม ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสี่พันบาท (มาตรา ๑๕๒))

กรณีขับรถออกจากทางส่วนบุคคลหรือทางเดินรถภายในหรือบริเวณอาคาร

การชับรถออกจากทางส่วนบุคคลหรือทางเดินรถในอาคารก็ต้องมีการเชื่อมต่อเข้ากับทางเดินรถหลัก มาตรา ๗๔ จึงบัญญัติให้ผู้ขับขี่ซึ่งชับรถออกจากทางส่วนบุคคลหรือทางเดินรถในบริเวณอาคาร เมื่อจะชับรถผ่านหรือเลี้ยวสู่ทางเดินรถที่ตัดผ่านต้องหยุดรถเพื่อให้รถที่กำลังผ่านทางหรือรถที่กำลังแล่นอยู่ในทางเดินรถผ่านไปก่อน เมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้วจึงขับรถต่อไปได้สำหรับโทษของการฝ่าผื่นมาตรา ๗๔ เป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๔๘ วรรคหนึ่ง คือ ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน ๕๐๐ บาท

มาตรา ๗๒  ทางเดินรถทางเอกได้แก่ทางเดินรถ ดังต่อไปนี้

(๑) ทางเดินรถที่ได้ติดตั้งเครื่องหมายจราจรแสดงว่าเป็นทางเดินรถทางเอก

(๒) ทางเดินรถที่มีป้ายหยุดหรือป้ายที่มีคำว่า "ให้ทาง" ติดตั้งไว้ หรือทางเดินรถที่มีคำว่าหยุดหรือเส้นหยุดซึ่งเป็นเส้นขาวทึบหรือเส้นให้ทางซึ่งเป็นเส้นขาวประบนผิวทาง ให้ทางเดินรถที่ขวางข้างหน้าเป็นทางเดินรถทางเอก

(๓) ในกรณีที่ไม่มีเครื่องหมายจราจรตาม (๑) หรือไม่มีป้ายหรือเส้นหรือข้อความบนผิวทางตาม (๒) ให้ทางเดินรถที่มีช่องเดินรถมากกว่าเป็นทางเดินรถทางเอกไปก่อน

(๔) ถนนที่ตัดหรือบรรจบกับตรอกหรือซอย ให้ทางเดินรถที่เป็นถนนเป็นทางเดินรถทางเอก

เมื่อผู้ขับขี่ขับรถมาถึงทางร่วมทางแยก ให้ผู้ขับขี่ปฏิบัติดังนี้

(๑)ถ้ามีรถอื่นอยู่ในทางร่วมทางแยก ผู้ขับขี่ต้องให้รถในทางร่วมทางแยกนั้นผ่านไปก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๔๖๓/๒๕๓๕ รถยนต์คันที่จำเลยที่ ๑ ขับแล่นมาถึงบริเวณสี่แยกที่เกิดเหตุก่อนรถยนต์คันที่ ก. ขับซึ่งโจทก์รับประกันภัยไว้ ก.ย่อมมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มารตรา ๗๑(๑)โดยต้องให้รถคันที่จำเลยที่ ๑ ขับ ผ่านไปเสียก่อนแต่ ก. กลับฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมายเหตุให้เกิดชนกันขึ้น พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตา ๗๑(๑) เป็นบทบัญญัติของกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์จะปกป้องบุคคลอื่น ๆ ก. ผู้ฝ่าฝืนกฎหมายเช่นว่านั้นย่อมต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่าเป็นฝ่ายผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๒๒

ฎีกาที่ ๒๘๖๒/๒๕๓๑ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ ศ ๒๕๒๒ นั้น บทบัญญัติมาตรา ๕๕ (๔) และมาตรา ๗๑ (๑) (๒) ต้องอยู่ในเงื่อนไขของมาตรา ๒๑ ดังนั้นเมื่อโจทก์ขับขี่รถมาถึงสี่แยกที่เกิดเหตุ โจทก็ก็ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามสัญญาจราจรและเครื่องหมายจราจรที่ได้ติดตั้งไว้หากปรากฏว่าสี่แยกด้านที่โจทก์ขับขี่รถมามีป้ายสัญญาณจราจรให้หยุดเพื่อดูความปลอดภัย แต่โจทก์กลับขับขี่รถแล่นออกไปโดยไม่ได้หยุดและชนกับรถที่จำเลยที่ 2 ขับขี่แล่นผ่านสี่แยกจากอีกด้านหนึ่งด้วยความเร็วสูง แม้ว่าเป็นความประมาทของจำเลยที่ ๑ แต่ก็นับว่าโจทก์มีส่วนประมาทด้วย

(๒)ถ้ามาถึงทางร่วมทางแยกพร้อมกันและไม่มีรถอยู่ในทางร่วมทางแยก ผู้ขับขี่ต้องให้รถที่อยู่ทางด้านซ้ายของตนผ่านไปก่อน เว้นแต่ในทางร่วมทางแยกใดมีทางเดินรถทางเอกตัดผ่านทางเดินรถทางโท ให้ผู้ขับขี่ซึ่งขับรถในทางเอกมีสิทธิขับผ่านไปก่อน*

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๙๕๓/๒๕๓๔ พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๗๑(๒)บัญญัติว่า ถ้ามาถึงทางแยกทางร่วมพร้อมกันและไม่มีรถอยู่ในทางร่วมทางแยกผู้ขับขี่ต้องให้รถที่อยู่ทางด้านซ้ายของตนผ่านไปก่อน แต่แม้จะมีกฎหมายดังกล่าวซึ่งทำให้คนขับรถของจำเลยมีสิทธิขับรถผ่านสี่แยกไปก่อนได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าคนขับรถของจำเลยมีสิทธิขับรถเข้าไปในสี่แยกโดยไม่คำนึงหรือไม่ระมัดระวังหรือไม่ดูว่ามียานพาหนะอื่นแล่นเข้ามาในสี่แยกหรือไม่ ที่เกิดเหตุเป็นสี่แยกมีทางเดินรถหลายช่องทาง ผู้ขับขี่ยวดยานทุกคนต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษกว่าการขับไปตามถนนอย่างธรรมดา เมื่อพิจารณาภาพถ่ายความเสียหายเห็นได้ว่ารถยนต์ชนกันอย่างแรง ซึ่งก็ต้องเกิดจากการขับรถด้วยความเร็วสูงของคนขับรถของจำเลยนั้นเองด้วย การกระทำดังกล่าวถือว่าเป็นความประมาท บทบัญญัติดังกล่าวมิได้คุ้มครองให้คนขับรถของจำเลยพ้นผิด

ฎีกาที่ ๓๗๗/๒๕๓๕ จำเลยที่ ๑ ขับรถมาถึงทางร่วมทางแยกก่อนรถโจทก์ จะนำมาตรา ๗๑ (๒) พ.รบ. จราจรทางบก มาใช้บังคับไม่ได้ตามบทมาตราดังกล่าวเป็นกรณีที่รถมาถึงทางร่วมทางแยกพร้อมกันและตามมาตรา ๕๑ (๒) (จ) ก็เป็นกรณีเมื่อรถอยู่ในทางร่วมทางแยกต้องให้รถที่สวนมาในทางเดินรถเดียวกันผ่านไปก่อน เมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้วจึงให้เลี้ยวขวาไปได้ มิใช่กรณีการเดินรถในถนนคนละสาย

(๓) กรณีมีสัญญาณไฟเขียวอยู่ข้างหน้า แต่ในทางร่วมทางแยกอื่นมีรถหยุดขวางอยู่จนไม่สามารถผ่านพ้นทางร่วมทางแยกไปได้ กรณีนี้ต้องหยุดรถที่หลังเส้นให้หยุดรถจนกว่าจะสามารถเคลื่อนรถผ่านทางร่วมทางแยกไปได้สำหรับโทษของการฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา ๗๑ เป็นไปตามมาตรา ๑๔๘ วรรคหนึ่ง กล่าวคือ ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน ๕๐๐ บาท

 หลักทั่วไปเกี่ยวกับการขับรถถึงทางร่วมทางแยกซึ่งมีลักษณะของการที่ทางเดินรถหลายทางมาบรรจบกันตัดกันซึ่งอาจแยกพิจารณาได้ดังนี้

ฎีกาที่ ๔๗๓๘/๒๕๓๐ จำเลยขับขี่รถจักรยานยนต์มาถึงทางแยกก่อนจนแล่นอยู่ในช่องทางเดินรถช่องที่ ๑ จะถึงช่องที่ ๒ อยู่แล้ว รถยนต์ที่ ส ขับจึงรนรถจักรยานยนต์ของจำเลย ในลักษณะเช่นนี้รถยนต์ของ สจะต้องให้รถจักรยานยนต์ของจำเลยผ่านไปก่อนตามพระราชบัญญัติทางบก พ.ศ ๒๕๒๒ มาตรา ๗๑ (๑) ส. ขับรถด้วยความเร็วสูงมากและไม่ลดความเร็วเมื่อถึงทางร่วมทางแยกแม้จะเป็นทางเอกก็เป็นฝ่ายประมาท ต. กรณีมาถึงทางร่วมทางแยกพร้อมกันกรณีที่ต่างฝ่ายต่างมาถึงทางร่วมทางแยกพร้อมกัน  และไม่มีรถอยู่ในทางร่วมทางแยก กรณีนี้ กฎหมายบัญญัติให้รถที่อยู่ทางซ้ายผ่านไปก่อน เว้นแต่กรณีเป็นทางเอกทางโทตัดกัน หรือภาษากฎหมายเรียกว่ามีทางเดินรถทางเอกตัดผ่านทางเดินรถทางโท กรณีนี้ให้ผู้ขับขี่รถในทางเอกมีสิทธิขับผ่านไปก่อน

ฎีกาที่ ๖๕๐๕/๒๕๕๕โจทก์บรรยายฟ้องในข้อสาระสำคัญของการกระทำความผิดว่าจำเลยกระทำโดยประมาทด้วยการขับรถด้วยความเร็วสูงเกินสมควรและไม่ชะลอความเร็วเมื่อถึงสี่แยก แต่ทางพิจารณากลับได้ความว่าจำเลยจอดรถอยู่ที่สี่แยกและเพิ่งขับรถ.คลื่อนที่เมื่อได้รับสัญญาณจราจรไฟสีเขียวแล้วชนรถจักรยานยนต์ของโจทก์ร่วมที่ ๑ เพราะมองไม่เห็น มิใช่ที่ปรากฏในการพิจารณาจึงแตกต่างกับข้อเที่จจริงในฟ้อง ทั้งเล็กเพราะการขับรถเร็วหรือไม่ชะลอความเร็วตามฟ้อง ดังนี้ ขสาระสำคัญ ศาลต้องยกฟ้องตาม ป.วิ อ มาตรา ๑๙๒ วรรคสอง ปักดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคฝ่ายใดอีกา ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป วิ อ มาตรา ๑๙๕ วรรค ประกอบมาตรา ๒๒๕

ฎีกาที่ ๓๘๒๕/๒๕๒๘ เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๒ ขับรถมาถึงสี่แยกจำเลยที่ ๑ หรือขับรถผ่านสี่แยกจนตัวรถเลยกึ่งกลางสี่แยกแม้จำเลยที่ ๒ จะขับรถอยู่ด้านช้ายของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ ก็ไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๗๑(๒) การขับรถในกรณีที่ผู้ขับขี่ต่างขับรถอยู่ในถนนซอย ในหมู่บ้านและกำลังจะผ่านสี่แยก ซึ่งทั้งสี่มุมเป็นบ้านพักอาศัยซึ่งรั้วบ้านสูงจนผู้ขับขี่ไม่สามารถเห็นรถที่อยู่ในทางร่วมทางแยกด้านอื่น ผู้ขับขี่ต้องอยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๗๐ ซึ่งบัญญัติว่า ผู้ขับขี่ซึ่งขับรถเข้าใกล้ทางร่วมทางแยกทางข้ามเส้นให้หยุดหรือวงเวียน ต้องลดความเร็วของรถ ดังนั้น การที่จำเลยที่ ๒ ขับรถผ่านสี่แยกดังกล่าวโดยมีได้ลดความเร็วของรถและมิได้ให้แตรสัญญาณก่อนขับรถผ่านสี่แยกทั้งที่บริเวณสี่แยกไม่มีเครื่องหมายการจราจรและไม่สามารถเห็นรถซึ่งอยู่ในทางแยกด้านอื่น ถือว่าเป็นการขับรถโดยประมาทเมื่อรถซึ่งจำเลยที่ ๒ ขับชนกับรถ ซึ่งจำเลยที่ ๑ ขับตรงสี่แยกเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายและถึงแก่ความตาย จำเลยที่ ๒ ย่อมมีความผิด